วิธีเลือกติดฟิล์มอาคารและบ้านเพื่อกันร้อนอย่างคุ้มค่า

วิธีเลือกติดฟิล์มอาคารและบ้านเพื่อกันร้อนอย่างคุ้มค่า

ประเทศไทยต้องเผชิญกับอากาศร้อนและแสงแดดจัดแทบทั้งปี ทำให้อาคารร้อนอบอ้าว การติดฟิล์มอาคารจึงเป็นทางออกที่ดีและคุ้มค่าที่สุดในการแก้ปัญหานี้ แต่จะเลือกฟิล์มอย่างไรให้เหมาะสมและกันความร้อนได้จริง SEACLEAR ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมฟิล์มกรองแสง จะมาไขทุกข้อสงสัย เพื่อให้คุณได้ฟิล์มอาคารที่ดีที่สุดสำหรับพื้นที่ของคุณกัน

ทำไมอาคารร้อนผิดปกติ? รวมปัจจัยที่ควรรู้ก่อนติดฟิล์มอาคาร

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางส่วนของอาคารถึงร้อนกว่าปกติ ก่อนจะเลือกติดฟิล์มอาคาร การเข้าใจถึงสาเหตุของความร้อนจะช่วยให้คุณเลือกฟิล์มได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ มีดังนี้

  • ทิศทางของบ้านและอาคาร : ห้องที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกและทิศใต้จะรับแสงแดดโดยตรงในช่วงบ่าย ทำให้สะสมความร้อนสูงกว่าทิศอื่น การติดฟิล์มอาคารคุณภาพสูงจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
  • ขนาดและจำนวนของกระจก : ยิ่งมีพื้นที่กระจกมากเท่าไหร่ ความร้อนและรังสี UV ก็ยิ่งส่องผ่านเข้ามาในตัวอาคารได้มากเท่านั้น การเลือกติดฟิล์มอาคารจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ประเภทของกระจกเดิม : กระจกแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการป้องกันความร้อนแตกต่างกัน การเสริมประสิทธิภาพด้วยการติดตั้งฟิล์มอาคารจะช่วยลดอุณหภูมิได้อย่างเห็นผล
  • สภาพแวดล้อมโดยรอบ : อาคารที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่หรือตึกอื่นคอยบังแดด จะรับความร้อนเต็ม ๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้การพึ่งพาฟิล์มอาคารเพื่อป้องกันความร้อนเป็นสิ่งสำคัญ

ฟิล์มติดอาคารกันร้อนมีกี่ประเภท เจาะลึกฟิล์มยอดนิยมในปัจจุบัน

ฟิล์มติดอาคารกันร้อนมีกี่ประเภท เจาะลึกฟิล์มยอดนิยมในปัจจุบัน

ในตลาดมีฟิล์มอาคารให้เลือกหลากหลายประเภท การทำความเข้าใจคุณสมบัติของฟิล์มแต่ละชนิด จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณได้ง่ายขึ้น โดยฟิล์มที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมี 3 ประเภทหลัก ดังนี้

1. ฟิล์มย้อมสี (Dyed Film)

เป็นฟิล์มอาคารประเภทพื้นฐานที่ใช้การย้อมสีลงบนแผ่นโพลีเอสเตอร์ เพื่อลดแสงจ้าและเพิ่มความเป็นส่วนตัว แม้จะมีราคาถูกที่สุด แต่ประสิทธิภาพการกันความร้อนค่อนข้างต่ำและอาศัยความเข้มของสีเป็นหลัก อีกทั้งสีของฟิล์มยังซีดจางได้ง่ายเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้มีอายุการใช้งานสั้นกว่าฟิล์มประเภทอื่น

2. ฟิล์มปรอท / เคลือบโลหะ (Metalized Film)

ฟิล์มอาคารประเภทนี้ใช้การเคลือบอนุภาคโลหะบาง ๆ บนเนื้อฟิล์ม ทำให้มีความมันวาว สะท้อนแสงได้ดี และช่วยลดความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นคือให้ความเป็นส่วนตัวสูงในเวลากลางวัน แต่ข้อเสียสำคัญคือเงาสะท้อนที่สูงอาจรบกวนสายตา 

3. ฟิล์มนาโนเซรามิก (Nano-Ceramic Film)

ถือเป็นนวัตกรรมขั้นสูงสุดของฟิล์มอาคารในปัจจุบัน โดยใช้อนุภาคนาโนเซรามิกที่เล็กระดับโมเลกุลฝังลงในเนื้อฟิล์ม ทำให้สามารถป้องกันรังสีอินฟราเรด (IR) ซึ่งเป็นต้นเหตุของความร้อนได้ดีเยี่ยม โดยที่ฟิล์มยังคงความโปร่งใส ไม่สะท้อนเงาเหมือนฟิล์มปรอท 

เปรียบเทียบความต่างฟิล์มปรอท vs ฟิล์มเซรามิก แบบไหนดีกว่ากัน

3 วิธีเลือกติดฟิล์มกันร้อนให้กับอาคารอย่างคุ้มค่า

เมื่อต้องตัดสินใจเลือกระหว่างฟิล์มอาคารสองประเภทที่กันร้อนได้ดีที่สุด การเปรียบเทียบคุณสมบัติให้ชัดเจนจะช่วยให้คุณเห็นภาพว่าฟิล์มชนิดไหนตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ได้ดีกว่ากัน

ฟิล์มปรอท / ฟิล์มเคลือบโลหะ (Metalized Film)

ข้อดี : กันความร้อนได้ดี, ให้ความเป็นส่วนตัวสูงในเวลากลางวัน, ราคาเข้าถึงง่ายกว่าฟิล์มเซรามิก

ข้อจำกัด : มีเงาสะท้อนสูงรบกวนสายตา, รบกวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือและ Wi-Fi ทำให้เกิดปัญหาสัญญาณอ่อนในบางจุด, ทัศนวิสัยตอนทั้งกลางวันและกลางคืนไม่คมชัดเท่าฟิล์มนาโนเซรามิก

ฟิล์มนาโนเซรามิก (Nano-Ceramic Film)

  • ข้อดี : กันความร้อนดีเยี่ยม โดยเฉพาะรังสีอินฟราเรด, ฟิล์มใส ไม่สะท้อนแสง ให้ทัศนวิสัยคมชัดทั้งกลางวันและกลางคืน, ไม่รบกวนสัญญาณโทรศัพท์ 5G, Wi-Fi หรือระบบ Smart Home ภายในบ้าน, มีความทนทานและสีไม่ซีดจาง
  • ข้อจำกัด : มีราคาสูงกว่าฟิล์มปรอท

4 วิธีเลือกติดฟิล์มกันร้อนให้กับอาคารอย่างคุ้มค่า

เพื่อให้การลงทุนติดฟิล์มอาคารของคุณคุ้มค่าที่สุด ไม่ใช่แค่การเลือกประเภทฟิล์ม แต่ต้องพิจารณาจากคุณสมบัติเชิงลึกเหล่านี้ประกอบกัน เพื่อให้ได้ฟิล์มที่กันร้อนได้จริงและใช้งานได้ยาวนาน

1. เลือกจากค่ากันความร้อน (TSER) และการป้องกันรังสี UV

หัวใจสำคัญคือการดูที่ “ค่าการลดความร้อนรวม” (TSER) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลบ่งบอกประสิทธิภาพการกันร้อน ยิ่งค่า TSER สูง ก็ยิ่งกันร้อนได้ดี และควรเลือกฟิล์มอาคารที่ป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้สูงถึง 99.9% เพื่อปกป้องผิวและเฟอร์นิเจอร์ของคุณ ซึ่งฟิล์มที่ได้รับการรับรองเป็น “ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5” จากกระทรวงพลังงาน จะต้องมีค่า SHGC (ค่าสัมประสิทธิ์การส่งผ่านความร้อน) ไม่เกิน 0.45 ซึ่งเทียบเท่ากับ ค่า TSER 55% ขึ้นไป โดยต้องมีผลทดสอบตามมาตรฐาน ISO 9050 ยืนยันเท่านั้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องหมายการันตีคุณภาพฟิล์มกันร้อนได้เป็นอย่างดี

2. เลือกที่ความใสและความคมชัดของฟิล์ม (VLT)

หลายคนกังวลว่าการติดฟิล์มอาคารจะทำให้มืดทึบ แต่เทคโนโลยีปัจจุบัน โดยเฉพาะฟิล์มนาโนเซรามิก สามารถให้ค่า VLT (Visible Light Transmission) หรือค่าแสงสว่างส่องผ่านที่สูงได้ ทำให้ยังคงสว่างและให้ทัศนวิสัยที่คมชัดเคลียร์ใส ไม่หลอกตา การเลือกฟิล์มอาคารที่เหมาะสมจะช่วยกันร้อนโดยไม่บดบังวิวสวย ๆ ของคุณ

3. เลือกฟิล์มที่มีผลการทดสอบตามมาตรฐานสากล

การเลือกฟิล์มกรองแสงที่ดี ไม่ควรดูแค่ตัวเลขสเปก แต่ต้องตรวจสอบว่าตัวเลขนั้นมาจากไหน ฟิล์มที่น่าเชื่อถือต้องมี ผลการทดสอบจริง รองรับตามมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ทั่วโลกยอมรับ เช่น ISO 9050 และ ASTM E903-82 อย่างที่ฟิล์มกรองแสง SEACLEAR ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับแรก ทุกค่าประสิทธิภาพของเราจึงมาจากการทดสอบจริง เพื่อให้คุณได้รับฟิล์ม คุณภาพมาตรฐานโลกที่ตรวจสอบได้ ไม่ใช่แค่คำกล่าวอ้าง

4. เลือกที่ความปลอดภัย (Safety Film) และการรับประกัน

สำหรับบ้านที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ หรืออาคารที่ต้องการความปลอดภัยเป็นพิเศษ ควรพิจารณาฟิล์มอาคารนิรภัย (Safety Film) ที่มีความหนาและเหนียวเป็นพิเศษ ช่วยยึดเกาะเศษกระจกไม่ให้แตกกระจายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และที่สำคัญที่สุด ควรเลือกแบรนด์ที่มั่นใจได้และมีการรับประกันคุณภาพสินค้าระยะยาว เพื่อความสบายใจในการใช้งาน

SEACLEAR คำตอบของฟิล์มอาคารยุคใหม่ที่รับประกันนาน 8 ปี

ที่ SEACLEAR เราก้าวข้ามขีดจำกัดของฟิล์มอาคารแบบเดิม ๆ ด้วยนวัตกรรมฟิล์มนาโนเซรามิกแท้ที่ใช้ Cesium Tungsten Oxide ซึ่งเป็นวัสดุที่สามารถป้องกันรังสีอินฟราเรดได้อย่างเหนือชั้น ทำให้ฟิล์มของเรากันความร้อนได้สูงสุดโดยยังคงความโปร่งใสและคมชัดไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะผ่านการทดสอบตามมาตรฐานสากล ISO 9050 และ ASTM E903-82 จึงมั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับฟิล์มที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานระดับโลก เราคือมาตรฐานใหม่ของความเย็นสบายที่มาพร้อมการรับประกันคุณภาพยาวนานถึง 8 ปี พร้อมผ่อนชำระ 10% ได้นานสูงสุด 10 เดือน

GET QUOTE

ขอใบเสนอราคา